ประเพณีไทย แห่สลุงหลวง
ประวัติประเพณี
ในเทศกาลสงกรานต์ คือในวันที่ 12 เมษายน
ชาวลำปางจะจัดขบวนแห่ที่เรียกว่า "ประเพณีแห่สลุงหลวงจังหวัดลำปาง" (สลุงหลวง แปลอีกความหมายว่าขันเงินใบใหญ่ )
พิธีการคือนำน้ำจากแหล่งน้ำสำคัญไปสรงพระเจ้าแก้วมรกตดอนเต้า
วัดพระธาตุลำปางหลวง
ที่อัญเชิญมาให้ประชาชนได้ร่วมกันสรงน้ำในช่วงวันขึ้นปีใหม่ไทย
การสรงน้ำพระที่ถูกต้องตามประเพณีไทย คือใช้วิธีตักน้ำจากสลุงเทสู่ รางริน ซึ่งเป็นทางให้น้ำขมิ้น ส้มป่อย น้ำอบ น้ำหอม ไหลไปสรงองค์พระ อันถือว่าเป็นการสรงน้ำที่ถูกต้องตามประเพณี น้ำที่สรงองค์พระจะไหลไปสู่ภาชนธ และถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวล้านนานำมาประพรมศีรษะ ร่างกายหรือที่อยู่อาศัยเพื่อควาเป็นสิริมงคล ร่มเย็นเป็นสุขแก่ชีวิตและครอบครัวของตนสืบไป
ชาวลำปาง ยึดถือประเพณีสรงน้ำองค์พระแก้วมรกตดอนเต้าสืบมาตลอด
การจัดขบวนแห่สลุงหลวง เพื่อรับน้ำขมิ้น ส้มป่อย น้ำอบ น้ำหอม
ถือเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมแต่โบราณ
พิธีกรรม
ขบวนแห่สลุงเริ่มจากการแห่ตุง(ธง) ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เต็มไปด้วยสีสันในขบวนแห่ตุงแต่ละผืน
มีความหมายในตัว มีทั้งตุงสีชมพูอ่อน ชมพูเข้ม สีส้ม สีเหลือง
เขียวสลับลายชมพูและฟ้า ผู้แห่ในขบวนส่วนใหญ่ประกอบด้วยชายฉกรรจ์
โพกผ้าขาวไว้บนศีรษะ เปลือยกายท่อนบนส่วนท่านล่างบางคนนุ่งกางเกงขาสั้นสีแดงบ้าน
สีดำบ้าง ในขณะทีบางคนนุ่งกางเกงขายาวสีขาว มีผู้ร่วมขบวนแห่นับร้อยคนแลดูตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้พบเห็น
ต่อจากขบวนตุง ก็เป็นขบวนเครื่องสายและเครื่องเป่าที่คอยประโคมให้ขบวนแห่ครบเครื่อง
ทั้งสีสันอันสดสวย
และเสียงเครื่องดนตรีขับกล่อมที่สร้างมนต์ตราตรึงให้ผู้พบเห็นได้เข้าถึงพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ได้ง่ายขึ้น
ต่อจากขบวนเครื่องสาย ก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในขบวนแห่
คือ ชาวลำปางจะอาราธนาพระเจ้า แก้วมรกตและพระเจ้าแก่นจันทร์
ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะบูชาอย่างสูงของชาวลำปางร่วมในงานประเพณีสงกรานต์ปีใหม่ของเมืองลำปาง
เพื่อให้ผู้คนชาวลำปางได้ร่วมกันสรงน้ำพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์
จากสลุงหลวงเงินสู่ลำรางสรงน้ำต่อไปตามลำดับ
ขบวนเครื่องสักการะจะมีส่วนประกอบหลักๆได้แก่ สุ่มดอก หรือต้นดอก หรือหลักบายศรี เป็นเครื่องสักการบูชาประเภทหนึ่ง
ที่ใช้ใบไม้ ดอกไม้ ตกแต่งคล้ายกับบายศรี ทำรูปลักษณะเหมือนกรวย หรือเป็นพุ่ม
หมากสุ่ม คือ การนำผลหมากที่ผ่าซีกแล้วเสียบร้อยด้วยปอหรือด้ายผูกไว้เป็นพวงตากแห้งเก็บไว้กิน
ซึ่งคนทางเหนือเรียก
“หมากไหม” มาปักคลุมโครงไม้หรือโครงเหล็กที่ทำเป็นต้นพุ่มไว้ หมากเบ็ง
มีลักษณะเดียวกับหมากสุ่ม แต่ใช้ผลหมากดิบหรือหมากสุกทั้งลูกแทน มีจำนวน ๒๔ ลูก
ผูกติดตรึงโยงไว้กับโครงไม้หรือโครงเหล็กที่ทำเป็นพุ่ม ลักษณะการผูกโยงตรึงกันนี้
คนเหนือเรียกว่า “เบ็ง” จึงเป็นที่มาของชื่อต้นพุ่มชนิดนี้
ต้นเทียน มีการนำเทียนเล่มเล็กๆ มาผูกห้อยกับโครง
เพื่อให้พระสงฆ์เก็บนำไปใช้สอยได้เลย สะดวกกว่าต้นผึ้งที่ต้องสะสมไปหล่อเทียนเอง
แห่สลุงหลวง
งานแห่สลุงหลวงและสงกรานต์ ประเพณีสงกรานต์ของจังหวัดลำปาง
จะจัดในช่วงวันที่ 12-14 เมษายน
ของทุกปี ในวันที่ 12 เมษายน
จะมีการจัดขบวนแห่สลุงหลวง (สลุง หมายถึง ขันน้ำ) ขบวนตกแต่งสวยงาม
ผู้ร่วมขบวนแต่งกายแบบล้านนาโบราณแห่แหนไปรอบเมือง
เพื่อรับน้ำขมิ้นส้มป่อยจากประชาชนไปสรงแด่พระแก้วดอนเต้า
พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 13-14 เมษายน ก็จะเป็นการ ทำบุญที่วัด ก่อเจดีย์ทราย
การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การเล่นสาดน้ำสงกรานต์ การออกร้านจำหน่ายสินค้า
การแสดงมหรสพและการแสดงพื้นเมืองต่างๆ
งานประเพณีล่องสะเปาจาวเวียงละกอน จังหวัดลำปาง
ประวัติงานประเพณีล่องสะเปา
เมื่อจุลศักราช 309 พระยาจุลราช
ได้ครองราชย์สมบัติ
ในนครหริภุญไชยในสมัยนั้นเมืองหริภุญไชยได้มีคนตายจำนวนมากจากโรคภัยไข้เจ็บ
ประชาชนชาวหริภุญไชยจำนวนมากจึงพากันหนีโรคภัยไปอาศัยอยู่เที่ยวเมืองสุธรรมวดี
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าภุกามราชผู้ครองเมืองสุธรรมาวดี ไม่ยินดีที่จะต้อนรับชาวหริภุญไชย แม้แต่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้ความกรุณาปราณี ฝ่ายชาวเมืองหริภุญไชยได้จึงพากันหนีจากเมืองสุธรรมาวดีนครไปยังเมืองหงษาวดี แล้วใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น ทางพระเจ้าหงษาวดี ทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ชาวเมืองหริภุญไชยเป็นอย่างมาก ชาวหริภุญไชยกับชาวหงษาวดี จึงได้มีรักใคร่กลมเกลียวต่อกันสืบมา ครั้งเมื่อครบ 6 ปี โรคภัยไข้เจ็บได้หายไป ผู้ที่ต้องการกลับมาอยู่เมืองหริภุญไชยก็พากันกลับมาสู่ภูมิลำเนาเดิม คนที่ไม่อยากกลับบ้านเมืองเดิม ก็เลยอยู่อาศัยในเมืองหงษาวดี นั้นเสีย เพราะเหตุนี้ ผู้คนทั้งหลายที่ได้กลับมายังเมืองหริภุญไชยนี้แล้ว เมื่อคิดถึงหมู่ญาติที่อยู่เมืองหงษาวดี ครั้งถึงกำหนดปีเดือน ก็เลยแต่งเครื่องสักการะลอยน้ำไปบูชาทางน้ำ ที่เรียกว่า ลอยโขมด (ลอยไฟ) จึงกลายเป็นประเพณีลอยประทีปสืบมา
ต่อมาความเชื่อดังกล่าวถูกรวมเข้ากับคติทางพระพุทธศาสนา จึงเพิ่มพิธีกรรมผ่านการอุทิศส่วนกุศลตามแบบอย่างของชาวพุทธ เพื่อฝากกุศลไปหาดวงวิญญาณของผู้ตายและฝากไว้สำหรับตนเองในภายภาคหน้า โดยจะมีการจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ทั้งอาหารเครื่องนุ่งห่ม ของใช้สอย เช่น ถ้วย ชาม เครื่องครัว ร่ม รองเท้า ตลอดจนเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ บรรทุกในเรือจำลองแล้วนำไปถวายพระสงฆ์ แล้วตั้งความปรารถนา เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาแล้วจึงแห่สะเปานั้นไปลอยในแม่น้ำ โดยมีการจุดประทีปโคมไฟให้ดูสวยงาม
ด้านการบูชาเพื่อลอยบาปเคราะห์ มีสันนิษฐานว่าคงได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูผสมผสานกับศาสนาพุทธ ชาวบ้านจะบรรทุกสิ่งของที่คิดว่า ผีหรือเทพผู้บันดาลเคราะห์จะชอบใจ เช่น เนื้อสัตว์ หรือปลาสด และข้าวตอกดอกไม้ตามพิธี พร้อมตัดผม ตัดเล็บ หรือชำระร่างกายด้วยน้ำส้มป่อยลงในสะเปา แล้วให้ปู่อาจารย์ผู้เป็นเจ้าพิธีกล่าวคำเซ่นสรวง ซึ่งอาจนิมนต์พระสงฆ์อนุโมทนา จากนั้นจึงแห่ไปลอยลงแม่น้ำ โดยจุดประทีปโคมไฟเช่นกัน
ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าภุกามราชผู้ครองเมืองสุธรรมาวดี ไม่ยินดีที่จะต้อนรับชาวหริภุญไชย แม้แต่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ได้ความกรุณาปราณี ฝ่ายชาวเมืองหริภุญไชยได้จึงพากันหนีจากเมืองสุธรรมาวดีนครไปยังเมืองหงษาวดี แล้วใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนั้น ทางพระเจ้าหงษาวดี ทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ชาวเมืองหริภุญไชยเป็นอย่างมาก ชาวหริภุญไชยกับชาวหงษาวดี จึงได้มีรักใคร่กลมเกลียวต่อกันสืบมา ครั้งเมื่อครบ 6 ปี โรคภัยไข้เจ็บได้หายไป ผู้ที่ต้องการกลับมาอยู่เมืองหริภุญไชยก็พากันกลับมาสู่ภูมิลำเนาเดิม คนที่ไม่อยากกลับบ้านเมืองเดิม ก็เลยอยู่อาศัยในเมืองหงษาวดี นั้นเสีย เพราะเหตุนี้ ผู้คนทั้งหลายที่ได้กลับมายังเมืองหริภุญไชยนี้แล้ว เมื่อคิดถึงหมู่ญาติที่อยู่เมืองหงษาวดี ครั้งถึงกำหนดปีเดือน ก็เลยแต่งเครื่องสักการะลอยน้ำไปบูชาทางน้ำ ที่เรียกว่า ลอยโขมด (ลอยไฟ) จึงกลายเป็นประเพณีลอยประทีปสืบมา
ต่อมาความเชื่อดังกล่าวถูกรวมเข้ากับคติทางพระพุทธศาสนา จึงเพิ่มพิธีกรรมผ่านการอุทิศส่วนกุศลตามแบบอย่างของชาวพุทธ เพื่อฝากกุศลไปหาดวงวิญญาณของผู้ตายและฝากไว้สำหรับตนเองในภายภาคหน้า โดยจะมีการจัดเตรียมสิ่งของต่างๆ ทั้งอาหารเครื่องนุ่งห่ม ของใช้สอย เช่น ถ้วย ชาม เครื่องครัว ร่ม รองเท้า ตลอดจนเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ บรรทุกในเรือจำลองแล้วนำไปถวายพระสงฆ์ แล้วตั้งความปรารถนา เมื่อพระสงฆ์อนุโมทนาแล้วจึงแห่สะเปานั้นไปลอยในแม่น้ำ โดยมีการจุดประทีปโคมไฟให้ดูสวยงาม
ด้านการบูชาเพื่อลอยบาปเคราะห์ มีสันนิษฐานว่าคงได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดูผสมผสานกับศาสนาพุทธ ชาวบ้านจะบรรทุกสิ่งของที่คิดว่า ผีหรือเทพผู้บันดาลเคราะห์จะชอบใจ เช่น เนื้อสัตว์ หรือปลาสด และข้าวตอกดอกไม้ตามพิธี พร้อมตัดผม ตัดเล็บ หรือชำระร่างกายด้วยน้ำส้มป่อยลงในสะเปา แล้วให้ปู่อาจารย์ผู้เป็นเจ้าพิธีกล่าวคำเซ่นสรวง ซึ่งอาจนิมนต์พระสงฆ์อนุโมทนา จากนั้นจึงแห่ไปลอยลงแม่น้ำ โดยจุดประทีปโคมไฟเช่นกัน
จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี (ช่วงลอยกระทง)
ถือเอาคืนวันเพ็ญเป็นวันทำพิธี
ประเพณีเดือนสิบสอง ล่องสะเปา
เป็นประเพณีที่ชาวล้านนาปฏิบัติมานานนับพันปี ล่องสะเปามีความหมายคล้ายกับคำว่า
สำเภา ของภาษาภาคกลาง หมายถึง เรือเดินทะเลที่ใช้แล่นด้วยลมโดยใข้ใบบังคับทิศทาง
แต่ความหมายของชาวล้านนาจะหมายถึงเรือบรรทุก สะเปา
เป็นพาหนะสำหรับบรรทุกเครื่องอุปโภคบริโภค
แล้วล่องสะเปาให้ลอยไปตามลำน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ
หรืออุทิศส่วนบุญฝากเป็นศิริมงคลของตนเองในภพหน้า
สถานที่จัดงาน
โดยจะตั้งขบวนแห่สะเปา
ที่บริเวณหน้าร้านเยื้อนสยาม-สามแยกเก้าจาว เคลื่อนขบวนไปตามถนนประสานไมตรี ผ่านแยกดอนปาน ถนนฉัตรไชย ข่วงนคร ห้าแยกหอนาฬิกา
และสิ้นสุดขบวนที่บริเวณโรงเรียนเทศบาล 3 หรือ ศาลากลางจังหวัดลำปาง
(หลังเก่า)
นอกจากนี้ ยังจะจัดให้มีการตกแต่งซุ้มประตูป่า
การตกแต่งประดับโคมไฟให้สวยงามตระการตาบริเวณข่วงนครลำปาง
การแสดงศิลปะพื้นบ้านล้านนาบนเวทีบริเวณห้าหอนาฬิกา
จึงขอเชิญชวนให้ชาวลำปางและนักท่องเที่ยวร่วมกันแต่งกายชุดพื้นเมืองในช่วงของการจัดงาน
และใช้สะเปาแทนกระทงโฟม
เพื่อเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของจังหวัดลำปาง
และรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
ล่องสะเปา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น